หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

พันธุศาสตร์ประชากร

พันธุศาสตร์ประชากร

           ประชากร  (population)  หมายถึง  กลุ่มของสิ่งมีชีวิตที่เป็นชนิดเดียวกัน  อาศัยอยู่ในบริเวณ
เดียวกันในช่วงเวลาหนึ่ง  ซึ่งในแต่ละบริเวณจะมีจำนวนประชากรที่แตกต่างกัน
    ขนาดของประชากร
ในแหล่งที่อยู่แต่ละแห่งจะมีจำนวนกลุ่มสิ่งมีชีวิต หรือจำนวนประชากรแตกต่างกันไป
การศึกษาขนาดหรือลักษณะความหนาแน่นของประชากรในแหล่งที่อยู่หนึ่งๆ                

     ประชากร   (Population)   ประชากรในเชิงชีววิทยา ประชากร คือ สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันอาศัยอยู่ในที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน ประชากรอาจมีความหมายได้ใน2 รูปแบบแบบแรกหมายถึง สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันเท่านั้นที่เข้ามารวมกลุ่มกัน (single species) และอีกแบบหนึ่งหมายถึงกลุ่มของสิ่งมีชีวิตหลายชนิดเข้ามาอยู่ร่วมกัน (mixed หรือ multiple species) เป็นการผสมผสานของประชากรสิ่งมีชีวิตหลายๆ ชนิดเอาไว้ด้วยกันแต่โดยทั่วไปแล้วประชากร (population) คือกลุ่มสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันอาศัยอยู่ในที่เดียวกัน เวลาเดียวกันมีคุณสมบัติของกลุ่มโดยเฉพาะมากกว่าคุณสมบัติของแต่ละตัวและสามารถบอกคุณสมบัติเหล่านี้ได้ดีโดยใช้สถิติซึ่งได้แก่ความหนาแน่นของประชากร (population density) โดยขึ้นอยู่กับคุณสมบัติอื่นๆในประชากร คือ การเกิด(natality) การตาย (mortality) การอพยพเข้า (immigration) และการอพยพออก (emigration) และคุณสมบัติอื่นอีก เช่นโครงสร้างอายุ การกระจายของประชากร


คุณสมบัติของประชากร
1. ความหนาแน่นของประชากร
2. การแพร่กระจายของประชากร.
3. ขนาดประชากร
4. รูปแบบการเพิ่มของประชากร
5. การรอดชีวิตของประชากร
6. โครงสร้างของกลุ่มอายุของประชากร ในหัวข้อนี้เราจะเรียนในเรื่อง ประชากรมนุษย์


ความหนาแน่นของประชากร(Population density) ความหนาแน่นของประชากรคือจำนวนประชากรต่อหน่วยพื้นที่หรือปริมาตรความหนาแน่นของประชากร แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือความหนาแน่นประชากรอย่างหยาบ (crude density) และความหนาแน่นเชิงนิเวศ (ecological density)
1. ความหนาแน่นประชากรอย่างหยาบเป็นการวัดความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่ทั้งหมดของที่อยู่อาศัย เช่นพื้นที่ป่ามี 5 ไร่มีตั๊กแตนอยู่ 500 ตัว เพราะฉะนั้น ความหนาแน่น = 500/5 ตัวต่อไร่ = 100 ตัวต่อไร่
2. ความหนาแน่นเชิงนิเวศเป็นการวัดความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่อยู่อาศัยจริงของสิ่งมีชีวิตนั้นเช่น ในพื้นที่ ป่ามี 50 ไร่แต่มีบริเวณที่ปลูกผักรวมแล้วเพียง 10 ไร่ประชากรหนอนกระทู้มีอยู่ 50,000 ตัว ดังนั้น ความหนาแน่น = 50,000/10 ตัวต่อไร่ = 5,000 ตัวต่อไร่


การวัดความหนาแน่นของประชากร(population measurement) การนับจำนวนสิ่งมีชีวิตเพื่อหาความหนาแน่นของประชากรบางครั้งอาจจะนับได้ทั้งหมดแต่โดยทั่วไปแล้วเราจะไม่สามารถนับได้ทั้งหมดจริงค่าความหนาแน่นที่ได้จะเป็นความหนาแน่นเชิงเปรียบเทียบเท่านั้นการวัดความหนาแน่นของประชากรสามารถแบ่งเป็น2 แบบ คือความหนาแน่นสมบูรณ์หรือความหนาแน่นที่แท้จริง (absolute density) และความหนาแน่นสัมพัทธ์ (relative density)
1. วิธีวัดความหนาแน่นสมบูรณ์ หรือความหนาแน่นที่แท้จริง (absolute density) เป็นการวัดความหนาแน่นของประชากรต่อหน่วยพื้นที่หรือปริมาตร มีวิธีการวัด2 วิธี คือ
1.1 การนับทั้งหมด (total counts) เป็นการนับจำนวนประชากรทั้งหมดในพื้นที่สำรวจมักใช้กับสัตว์พวกที่มีกระดูกสันหลัง(vertebrate) เช่นการศึกษาจำนวนประชากรของนักศึกษามาหาวิทยาลัยเชียงใหม่จำนวนลิงในสวนสัตว์เชียงใหม่
1.2 การสุ่มตัวอย่าง (sampling method) เป็นการวัดความหนาแน่นในสัดส่วนหรืออัตราส่วนเล็กๆ ของประชากรทั้งกลุ่มแล้วนำไปประเมินเป็นความหนาแน่นทั้งหมดของประชากรนั้นๆวิธีการสุ่มตัวอย่างที่นิยมใช้โดยทั่วไป ได้แก่
1.1.1 การใช้ควอแดรท (quadrant) เป็นการนับประชากรทั้งหมดภายในพื้นที่ที่ทำการเก็บตัวอย่างหรือควอแดรทซึ่งจะเป็นรูปอะไรก็ได้ แต่ที่นิยมทำกันมักเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสค่าความหนาแน่นของประชากรที่ศึกษาต้องอาศัยค่าต่างๆ เช่นต้องทราบจำนวนทั้งหมดในแต่ละควอแดรท ทราบพื้นที่ในแต่ละควอแดรทรวมถึงตัวอย่างที่เก็บมาต้องเป็นตัวแทนที่ดีของพื้นที่ทั้งหมดที่ทำการสำรวจแล้วนำข้อมูลที่ได้มาหาค่าเฉลี่ย เช่น เก็บตัวอย่างมา 37 ควอแดรทจำนวนสิ่งมีชีวิตที่นับได้คือ 30 ดังนั้นจะได้จำนวนตัวต่อควอแดรท คือ 30/37 = 0.811 และเมื่อแต่ละควอแดรทมีพื้นที่เท่ากับ 0.08 ตารางเมตรสามารถหาค่าความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่ได้เป็น 0.811/0.08 = 10.1 ตัวต่อตารางเมตร เป็นต้น
1.2.2. การจับ-ปล่อย แล้วจับอีกครั้ง (capture recapture) เป็นการจับสิ่งมีชีวิตที่สนใจมาทำเครื่องหมายแล้วปล่อยไปและทำการจับคืนมาอีกแล้วนับจำนวนตัวที่มีเครื่องหมายและไม่มีเครื่องหมายเพื่อนำมาคำนวณหาจำนวนประชากรการสุ่มโดยวิธีนี้นอกจากจะเป็นการประเมินความหนาแน่นแล้วยังเป็นการประเมินอัตราการเกิดและอัตราการตายของประชากรได้ด้วยการวัดความหนาแน่นด้วยวิธีนี้คำนวณได้จากสูตร P = T2M1/ M2
P = ประชากรที่ต้องการทราบ
M1 = จำนวนสัตว์ที่จับได้ครั้งแรกและทำเครื่องหมายทั้งหมดแล้วปล่อย
M2 = จำนวนสัตว์ที่ทำเครื่องหมายที่จับได้ครั้งหลัง
T2 = จำนวนสัตว์ทั้งหมดที่จับได้ครั้งหลังทั้งที่มีเครื่องหมายและไม่มีเครื่องหมาย
การประเมินความหนาแน่นของประชากรมีข้อแม้ว่า
1. สัตว์ที่ถูกทำเครื่องหมายและไม่มีเครื่องหมายจะถูกจับได้โดยสุ่ม
2. ถ้ามีการตายเกิดขึ้น สัตว์ที่ถูกทำเครื่องหมายและไม่มีเครื่องหมายมีโอกาสที่จะได้ตายเท่ากัน
3. เครื่องหมายที่ทำไว้จะต้องไม่หลุด สูญหาย หรือมองเห็นได้ยาก  การประเมินประชากรด้วยวิธีนี้ปกติจะมีการทำซ้ำๆหลายครั้งต่อปีซึ่งทำให้สามารถทราบถึงอัตราการเกิดและอัตราการตายได้อีกด้วย
2. วิธีวัดความหนาแน่นสัมพัทธ์ (relative density) จำนวนประชากรที่คำนวณได้จากการสุ่มตัวอย่างเป็นเครื่องชี้” (index) บอกขนาดของประชากร โดยบอกเป็นค่าความหนาแน่นต่อหน่วยคงที่ใดๆ เช่นต่อกับดักหรือต่อใบพืช และมีความสัมพันธ์กับประชากรแท้จริงค่อนข้างจะคงที่ใช้ได้ในเชิงเปรียบเทียบเท่านั้น การหาความหนาแน่นสัมพัทธ์มีหลายวิธี เช่น
1. ใช้กับดัก เช่น กับดักแมลงวัน แสงไฟล่อแมลงการขุดหลุมดักแมลงปีกแข็ง เครื่องดูดจับแมลงจำนวนที่จับได้ขึ้นอยู่กับความว่องไวของแมลง จำนวนที่มีอยู่และความชำนาญของผู้ใช้กับดัก เป็นต้น
2. นับจำนวนมูล การนับปริมาณมูลของแมลงสามารถใช้บอกขนาดของประชากรได้ เช่น การวัดความหนาแน่นประชากรของ ด้วงเจาะลำต้น เป็นต้น
3. ความถี่ในการกระพริบแสง เช่น มีการนับจำนวนหิ่งห้อยจากการกระพริบแสงช่วงตอนกลางคืน เพื่อใช้เป็นดรรชนีบอกขนาดของประชากร
4. จำนวนร่องรอยที่สัตว์ทำไว้ เช่น ปลอกดักแด้ รูจิ้งหรีด กองดินที่จั๊กจั่นบางชนิดทำขึ้น
5. ปริมาณอาหารที่กิน เช่นการวัดประชากรหนูโดยใช้จำนวนเหยื่อที่หนูกินเป็นดรรชนีวิธีนี้ใช้เพื่อประเมินผลของการใช้ยาเบื่อหนูต่อประชากรหนูเมื่อก่อนและหลังเบื่อยา เป็นต้น
6. ความถี่ ใช้เปอร์เซ็นต์ของจำนวน ควอแดรทที่มีสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นอยู่เป็นดรรชนี
7. จำนวนประชากรที่จับได้แต่ละครั้งเป็นเครื่องชี้บอกความมากน้อยของประชากรวิธีวัดความหนาแน่นสัมพัทธ์มีประโยชน์ในการช่วยสนับสนุนผลจากการวัดโดยตรงให้มีความแน่ชัดยิ่งขึ้นเมื่อการนับจำนวนสัตว์หลายชนิดเป็นไปได้ยากก็จำเป็นต้องยอมรับผลของการนับด้วยวิธีวัดความหนาแน่นสัมพัทธ์ซึ่งใช้ดรรชนีต่างๆ เป็นตัวบ่งชี้จำนวนประชากร


ปัจจัยที่มีผลต่อความหนาแน่นของประชากร
1. อัตราการเกิด (natality or birth rate) อัตราการเกิด(natality or birth rate) คือ จำนวนลูกที่เกิด/ตัวเมีย/ปีโดยอัตราการเกิดขึ้นอยู่กับชนิดของสิ่งมีชีวิตบางชนิดออกลูกครั้งเดียวตลอดชีวิต บางชนิดออกลูกปีละหลายครั้งบางชนิดผลิตลูกตลอดเวลา เป็นต้นอัตราการเกิดของประชากรจะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับ
1. จำนวนตัวเมียที่อยู่ในระยะผลิตลูกได้ ปกติแล้วมีจำนวนน้อยกว่าจำนวนตัวเมียที่มีอยู่ทั้งหมด
2. ความสามารถในการผลิตลูกโดยเฉลี่ยของตัวเมีย (fecundity)
3. จำนวนลูกที่ผลิตขึ้นได้จริงโดยเฉลี่ย (fertility)
2. อัตราการตาย (mortality or death rate) อัตราตายของประชากรสิ่งมีชีวิตในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆสามารถนำเสนอในรูปของกราฟแสดงปริมาณความอยู่รอด (survivorship curves) หรือในรูปของตารางชีวิตเพื่อช่วยแสดงจำนวนตายทั้งหมดที่มีในประชากรแมลงหลายชนิดมีอัตราตายสูงมากทำให้เหลือแมลงเพียงไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ที่สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องจนตัวเต็มวัยปัจจัยที่มีผลกระทบต่ออัตราตายมีทั้งจากปัจจัยที่มีและไม่มีชีวิตซึ่งอาจมีผลกระทบต่อระยะใดระยะหนึ่งในวงจรชีวิตหรือต่อหลายๆ ระยะก็ได้ เช่นปริมาณน้ำฝนอาจมีผลกระทบทำให้มีอัตราการตายของเพลี้ยอ่อนทุกวัยในขณะที่แมลงเบียนบางชนิดเข้าทำลายหนอนผีเสื้อได้เพียงบางวัยหรือในบางระยะเท่านั้นอัตราการตายนี้ย่อมมีความผันแปรไปได้ตามกาลเวลาและสถานที่เช่นเดียวกับอัตราการเกิดนอกจากจะทราบว่าการตายทำให้จำนวนประชากรของสิ่งมีชีวิตลดลงแล้วนักนิเวศวิทยายังได้ศึกษาว่าอะไรเป็นสาเหตุของการตายในประชากรและแต่ละสาเหตุเกิดการตายมากน้อยเพียงใดด้วย สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการตายคือ อายุขัยซึ่งเรา สามารถแบ่งอายุขัยของสิ่งมีชีวิตได้เป็น2 ประเภทได้แก่
          I.   อายุขัยทางนิเวศวิทยา (ecological longevity) เป็นอายุขัยโดยเฉลี่ยของแต่ละตัวของประชากรภายใต้สภาวะแวดล้อมอันใดอันหนึ่ง
          II. อายุขัยทางสรีรวิทยา (physiological longevity) เป็นอายุขัยโดยเฉลี่ยภายใต้สภาวะแวดล้อมเหมาะสมสิ่งมีชีวิตจะตายเมื่อหมดอายุขัย


ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของอัตราการตายแบ่งได้เป็น7 ปัจจัย คือ
ความชราภาพ (aging)ความตายที่เกิดขึ้นจากความชราหรือหมดอายุขัย เรียกว่าเป็นความตายเนื่องจากผลทางสรีรวิทยา (physiological death)
ความสามารถในการอยู่รอดต่ำ (low vitality) ความสามารถในการอยู่รอดนับเป็นคุณลักษณะ สำคัญทางพันธุกรรมที่ช่วยให้สิ่งมีชีวิตสามารถต้านทานปัจจัยต่างๆของสภาวะแวดล้อมที่อาจมีผลกระทบต่อประชากรสิ่งมีชีวิตแต่ละตัวในประชากรย่อมมีขีดความสามารถที่แตกต่างกันเป็นผลให้ขีดความสามารถในการอยู่รอดของประชากรโดยเฉลี่ยเปลี่ยนแปลงไปตามอัตราส่วนของขีดความสามารถของประชากรส่วนใหญ่ปริมาณน้ำฝนอาจทำให้ประชากรแมลงจำนวนมากที่อ่อนแอไม่ชอบสภาพที่มีความชื้นสูงซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้เป็นลักษณะทางพันธุกรรม
อุบัติเหตุ (accidents) อุบัติเหตุเป็นปัจจัยสุดวิสัยและไม่อาจคาดคะเนได้ที่เป็นสาเหตุให้เกิดการตายขึ้นได้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นได้ทั้งเนื่องจากลักษณะทางสรีรวิทยา(เช่นลอกคราบออกมาไม่ได้ เหยียดปีกขยายออกไม่ได้) และทางนิเวศวิทยา(เช่นสัตว์เคี้ยวเอื้องเล็มกินใบพืชโดยมีแมลงติดอยู่จึงถูกกินเข้าไปด้วย)ลักษณะทางเคมีกายภาพ(physicochemical conditions) ลักษณะทั้งทางเคมีและทางกายภาพที่เกี่ยวกับอากาศ น้ำและพื้นผิวที่ประชากรอยู่สภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างรุนแรงย่อมมีผลให้อัตราตายสูงขึ้น
ศัตรูธรรมชาติ(natural enemies)
ความขาดแคลนอาหาร(food shortage
ขาดแหล่งคุ้มภัย(lack of shelter)
3. การอพยพเข้าและการอพยพออก (immigration and emigration) โดยทั่วไปแล้ว การศึกษาความเปลี่ยนแปลงของประชากรจะไม่ใส่ใจกับปัจจัยนี้มากนักเพราะถือว่ามีผลกระทบน้อยเนื่องจากมีการคาดว่าอัตราการอพยพเข้าและออกเท่ากันแต่ ก็มีการศึกษาเรื่องนี้บ้างจากประชากรของสิ่งมีชีวิตบนเกาะ
การอพยพเข้า(immigration) เป็นการเคลื่อนย้ายของสิ่งมีชีวิตเข้าสู่สถานที่หนึ่งเป็นผลให้ขนาดของประชากรในสถานที่นั้นเพิ่มขึ้นแต่ถ้าประชากรมีปริมาณที่มากเกินไปจนถึงจุดสูงสุดที่จะรองรับได้ (carrying capacity) ก็จะมีผลให้ผู้อพยพเข้าที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้อย่างรวดเร็ว มีอัตราการตายเพิ่มขึ้น
การอพยพออก (emigration) เป็นการเคลื่อนย้ายประชากรสิ่งมีชีวิตจากสถานที่หนึ่งไปสู่สถานที่ใหม่เพื่อการอยู่รอดอาจจะเป็นการขาดอาหารเนื่องจากภัยธรรมชาติ ความแห้งแล้งหรือมีปริมาณประชากรมากเกินไปถ้าเกิดการอพยพอย่างต่อเนื่อง(ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้น)ได้ยากจะทำให้ขนาดของประชากรลดลงอย่างชัดเจน
การอพยพช่วงสั้น(trivial or non-migratory) เป็นการเคลื่อนที่ไปในระยะทางสั้นๆ ใกล้กับแหล่งแพร่พันธุ์ เพื่อการหาอาหารการผสมพันธุ์ หรือการวางไข่ นับเป็นกิจกรรมปกติที่เกิดขึ้น
การอพยพช่วงยาว(migratory) เป็นการเคลื่อนที่โดยการบินอพยพเป็นระยะนับร้อยนับพันกิโลเมตรโดยมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาอาหาร แหล่งแพร่พันธุ์หรือแหล่งวางไข่โดยตรงแต่เกิดจากความพร้อมใจและตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะอพยพของแมลงแต่ละตัวที่อยู่ภายในฝูงซึ่งอาจมีมากถึงหลายร้อยล้านตัวในขณะที่มีการอพยพแมลงมีอัตราตายสูงมากเนื่องจากในระหว่างทางอาจไม่พบแหล่งอาหาร ถิ่นอาศัยชั่วคราวหรือแหล่งคุ้มภัยที่เหมาะสมสำหรับประชากรได้ทั้งหมด


การแพร่กระจายของประชากร(population dispersal) พบว่าประชากรมีการแพร่กระจาย3 แบบ คือ การแพร่กระจายแบบสุ่ม(random spatial pattern) พบมากในประชากรที่อาศัยในธรรมชาติโดยเฉพาะประชากรที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมือนกันและไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงจึงไม่มีการแก่งแย่งแข่งขันระหว่างสมาชิกและไม่มีการรวมกลุ่มสมาชิก เช่น การแพร่กระจายของพืชที่มีเมล็ด ปลิวไปกับลมหรือสัตว์ที่กินผลไม้แล้วขับถ่ายทิ้งอุจจาระไว้ตามที่ต่างๆและในอุจจาระนั้นมีเมล็ดพืชปะปนอยู่จึงงอกกระจายทั่วๆไป
การแพร่กระจายแบบรวมกลุ่ม(uniform spatial pattern) การกระจายแบบนี้เป็นรูปแบบการแพร่กระจายของประชากรที่พบในธรรมชาติมากที่สุดส่วนใหญ่มักพบอยู่รวมกันด้วยเหตุผลพลายประการ เช่นสภาพแวดล้อมมีความแตกต่างของดินอุณหภูมิ ความชื้นทำให้เกิดแหล่งที่อยู่อาศัยที่แตกต่าง เป็นสาเหตุให้สิ่งมีชีวิตมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เช่นไส้เดือนดินพบตามดินร่วนซุย และมีความชื้นสูงมีอินทรีวัตถุมาก หรือการสืบพันธ์ที่ทำให้สมาชิกในประชากรมาอยู่ร่วมกันโดยเฉพาะตัวอ่อน ที่ยังอาศัยการเลี้ยงดูจากพ่อแม่เช่นสัตว์ที่อยู่ในกลุ่มครอบครัว เช่น ชะนีหรือรูปแบบพฤติกรรมที่อยู่เป็นกลุ่ม เช่น ฝูงนก ฝูงวัวควาย ฝูงปลา โขลงช้าง
การแพร่กระจายแบบสม่ำเสมอ(clumped spatial pattern) การแพร่แบบนี้มักพบในบริเวณที่มีปัจจัยทางกายภาพบางประการที่จำกัดในการเจริญเติบโต เช่น ความชื้น อุณหภูมิ และลักษณะของดิน เป็นต้น เช่นการแก่งแย่งน้ำเพื่อการเจริญเติบโตของกระบองเพชรยักษ์ที่ขึ้นในทะเลทรายรัฐอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกาการปลิวของผลยางไปตกห่างจากต้นแม่เพื่อเว้นระยะห่างของพื้นที่ในการเจริญเติบโต เพื่อหลีกเลี่ยงการแก่งแย่งความชื้นและแสงหรือการที่ต้นไม้บางชนิดมีรากที่ผลิตสารพิษซึ่งสามารถป้องกันการงอกของต้นกล้าให้เป็นบริเวณห่างรอบๆ ลำต้นนอกจากนี้พบว่าบางครั้งการแพร่กระจายแบบนี้อาจเกิดจากพฤติกรรมทางสังคมที่กำหนดให้มีอาณาเขตรอบๆ เพื่อหากิน สืบพันธุ์และสร้างรัง


รูปแบบการแพร่กระจายของประชากรในธรรมชาติแต่ละแบบดังภาพ มีผลดีและผลเสียคือ
ชนิดของการแพร่กระจาย
ผลดี
ผลเสีย
การแพร่กระจายแบบสุ่ม
(random spatial pattern)
- ไม่มีการแก่งแย่งกันระหว่างสมาชิก
- สิ่งมีชีวิตจะไม่รวมกันเป็นหมู่ เป็นพวก ทำให้ยากในการที่จะศึกษาชนิดของประชากรนั้น ๆ
การแพร่กระจายแบบรวมกลุ่ม
(uniform spatial pattern)
- อยู่รวมกัน สามารถศึกษารายละเอียดต่างๆ ของประชากรแบบนี้ได้ง่าย และเป็นการแพร่กระจายมากที่สุดในธรรมชาติ
- ตัวอ่อนมีพ่อแม่เลี้ยงดู อัตราการอยู่รอดจะสูง
- สิ่งมีชีวิตจะเกิดการแก่งแย่งกันในกลุ่ม มีการสืบพันธุ์ในเครือญาติอาจทำให้ได้พันธุ์ที่ไม่แข็งแรงและลักษณะด้อยมีโอกาสปรากฏออกมาได้มาก
การแพร่กระจายแบบสม่ำเสมอ
(clumped spatial pattern)

- มีการแพร่กระจายแบบนี้น้อยในสภาพธรรมชาติ
- มีการแก่งแย่งกันอย่ารุนแรง
- มีการปล่อยสารพิษมายับยั้งสิ่งมีชีวิตอื่น
ขนาดของประชากรปัจจัยที่ควบคุมขนาดของประชากรแบ่งเป็น2 พวกใหญ่ๆ คือ
1. ปัจจัยที่ขึ้นกับความหนาแน่นของประชากร (density dependent factors) เมื่อประชากรมีขนาดใหญ่ขึ้น จะมีการแก่งแย่งแข่งขันกันในเรื่องการใช้ทรัพยากรเนื้อที่ อาหาร ความรุนแรงจะเพิ่มมากขึ้นเป็นสัดส่วนกับความหนาแน่นของประชากรซึ่งจะมีผลทำให้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและขนาดของประชากรคือทำให้จำนวนสมาชิกในประชากรลดลง
2. ปัจจัยที่ไม่ขึ้นกับความหนาแน่นของประชากร (density independent factors) เช่นสภาพภูมิอากาศที่เลวร้าย อุณหภูมิที่หนาวจัด ไฟไหม้ น้ำท่วม ลมพายุปัจจัยเหล่านี้สามารถลดจำนวนสิ่งมีชีวิตในประชากรลงได้โดยไม่คำนึงถึงความหนาแน่นของประชากร
รูปแบบการเพิ่มของประชากร
1. เป็นการเพิ่มประชากรโดยที่สมาชิกของประชากรนั้นมีการสืบพันธ์เพียงครั้งเดียว (Single reproduction) ประชากรมีความสามารถในการเพิ่มประชากรในระยะแรกได้อย่างรวดเร็วมีจำนวนลูกมากต่อการผลิตหนึ่งครั้งและสามารถผลิตลูกได้เมื่อนำมาเขียนกราฟจะได้กราฟแบบเอกโพเนนเซียล (exponential )คือมีอัตราการเกิดสูงกว่าอัตราการตายมาก
2. เป็นการเพิ่มประชากรโดยสมาชิกของประชากรนั้นมีโอกาสในการสืบพันธุ์ได้หลายครั้งในช่วงชีวิต (multiple reproduction) จะผลิตลูกหลานได้จำนวนน้อยต่อการผลิตหนึ่งครั้งและมีวัฏจักรชีวิตค่อนข้างยาวนานตัวอ่อนจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีและมีอัตราการตายต่ำ เช่น สุนัข ช้าง ม้าคน ฯลฯ เมื่อนำการเจริญลักษณะนี้มาเขียนกราฟจะได้กราฟแบบลอจิก (logistic ) หรือในกรณีของสิ่งมีชีวิตที่เป็น กราฟแบบเอกโพเนนเซียล (exponential ) ในช่วงแรกให้กราฟออกมาเป็นรูปJ–shape ในขณะที่สมาชิกของประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เกิดความหนาแน่นมากขึ้นการแก่งแย่งเพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยพื้นฐานที่มีอยู่อย่างจำกัด (K) มีสูงขึ้น จนถึงจุดสูงสุดที่สภาพพื้นที่นั้นๆ รับได้ ณเวลานั้นอัตราการเกิดจะค่อยๆลดลงในขณะที่อัตราการตายเพิ่มขึ้นจนในที่สุดเท่ากับอัตราการเกิดหรือที่เรียกว่าจุดสมดุล การเพิ่มประชากรเป็นแบบ logistic ซึ่งกราฟมักเปลี่ยนเป็นรูป S– shape


การรอดชีวิตของประชากร สามารถแสดงได้ในรูปของกราฟอัตราการรอดชีวิต(survivorship curves) โดยจำแนกเป็น 3 ลักษณะ
ลักษณะแรก : มีอัตราการตายในช่วงต้นของอายุขัยน้อยมากและเริ่มมีอัตราการตายสูงขึ้นในช่วงปลายของอายุขัยสามารถพบได้ทั่วไปในสัตว์ขนาดใหญ่ที่มีอายุยืนยาวนาน และมีอัตราการตายต่ำมากตลอดชั่วอายุขัย เช่นมนุษย์ ช้าง ม้า สุนัข
ลักษณะที่สอง :อัตราการตายเกิดขึ้นตลอดเวลาในอัตราที่สูงในทุกช่วงอายุ (สิ่งมีชีวิตมีรูปแบบการรอดชีวิตเท่ากันทุกวัย)และหากอัตราการตายนั้นคงที่กราฟที่ได้จะมีลักษณะคล้ายเส้นทะแยงมุม แต่ในความเป็นจริงของธรรมชาติอาจกล่าวได้ว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใดที่มีอัตราการตายคงที่เลย แต่ เช่นไฮดรา นก เต่า
ลักษณะที่สาม : มีอัตราการตายในช่วงวัยต้นๆ ของอายุขัยสูงมากและอัตราการตายลดลงเมื่ออายุขัยสูงขึ้นเช่น ปลา หอยและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
โครงสร้างอายุและอัตราส่วนเพศ(age structure and sex ratio)
โครงสร้างอายุ(age structure) มีความเกี่ยวพันกับอัตราการเกิดและอัตราการตายของประชากรเมื่อประชากรมีการเจริญเติบโตและเพิ่มอายุขึ้นเรื่อยๆจะทำให้เกิดสัดส่วนของกลุ่มอายุต่างๆ ของสมาชิกภายในกลุ่มซึ่งสามารถประเมินได้จากสถานภาพของการสืบพันธุ์ ณ ขณะนั้นของประชากรและช่วยพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นได้ในลักษณะกว้าง
กลุ่มอายุของสิ่งมีชีวิตสามารถแบ่งออกเป็นช่วงได้3 กลุ่ม คือ
1. ช่วงก่อนการสืบพันธุ์ (pre-reproductive) คือช่วงของประชากรตั้งแต่เกิดจนถึงก่อนการสืบพันธุ์
2. ช่วงวัยสืบพันธุ์หรือวัยเจริญพันธุ์ (reproductive) คือช่วงของประชากรที่สามารถผลิตลูกหลานได้
3. ช่วงหลังวัยสืบพันธุ์ (post-reproductive) คือ ช่วงของประชากรหลังวัยสืบพันธุ์ ผลิตลูกได้ลดน้อยลงหรือผลิตไม่ได้เลย
กลุ่มอายุของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดนั้นจะแตกต่างกันไปส่วนในกลุ่มอายุของแมลงนั้นพบว่ามีช่วงอายุก่อนการสืบพันธุ์ยาวนานมากและมีช่วงสืบพันธุ์รวมทั้งหลังสืบพันธุ์สั้นมากเช่นกัน ดังกล่าวแล้วข้างต้นกลุ่มของอายุประชากรยังสามารถนำมาจัดเป็นกราฟแสดงความสัมพันธ์ของกลุ่มอายุต่างๆ ของประชากรซึ่ง เรียกว่า พิรามิดอายุ (age pyramids)
รูปแบบที่ 1 พิรามิดฐานกว้างยอดแหลม (pyramid shape structure)
มีสัดส่วนของประชากรก่อนวัยสืบพันธุ์อัตราสูงเนื่องจากมีอัตราการเกิดสูงและมีการเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็วอาจเป็นแบบ เรขาคณิต (exponential growth) เช่น ประชากรของแมลงวันบ้าน เป็นต้นแสดงให้เห็นถึงการประสบความสำเร็จในการดำรงชีพช่วงอายุก่อนการสืบพันธุ์มีสัดส่วนที่มากกว่าอายุช่วงสืบพันธุ์และหลังการสืบพันธุ์ ดังแสดงในกราฟที่ตั้งอยู่บริเวณส่วนกลางและส่วนยอดของ พิรามิดประชากรในอนาคตจะเพิ่มขึ้น
รูปแบบที่ 2 พิรามิดรูประฆังคว่ำ (bell shape structure)
มีสัดส่วนของประชากรก่อนวัย สืบพันธุ์และวัยสืบพันธุ์พอๆกันการเจริญเติบโตจะเป็นไปอย่างช้าๆ และคงที่ประชากรหลังการสืบพันธุ์หรือที่มีอายุมากมีจำนวนน้อย ดังนั้นประชากรทั้ง 3 กลุ่มมีความเหมาะสมและสมดุลซึ่งกันและกันประชากรจะคงที่ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง
รูปแบบที่ 3 พิรามิดรูปบาตรคว่ำ หรือกาน้ำชา (urn shaped structure)
มีสัดส่วนของวัยก่อนสืบพันธุ์จำนวนน้อยกว่าวัยสืบพันธุ์และวัยหลังสืบพันธุ์อัตราการเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง ประชากรอาจมีการตายเกิดขึ้นในอนาคตจะมีจำนวนประชากรที่ลดลง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น